รู้จักกับ 'ระบบ ERP'
ซอฟต์แวร์ทรงพลังเพื่อการเติบโตของธุรกิจ
แล้วเทคโนโลยีมีส่วนรักษาความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจการเติบโตได้อย่างไร เราจะพามาหาคำตอบเกี่ยวกับระบบ ERP กุญแจสำคัญสู่การเติบโตของธุรกิจอย่างละเอียดได้ในบทความนี้กันเลย
Table of Contents : เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจได้ตรงนี้เลย
- ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คืออะไร?
- 5 เทรนด์ ERP ในปี 2025
- จุดเด่นของระบบ ERP ตัวช่วยเพื่อธุรกิจทุกขนาด
- ทำไม 'ระบบ ERP' จึงสำคัญกับธุรกิจของคุณ
- ธุรกิจขนาดเล็กจะสามารถใช้ระบบ ERP ได้หรือไม่
- ประเภทของ 'โปรแกรม ERP'
- โมดูลการทำงานในระบบ ERP ส่วนประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ
- ทรานฟอร์มธุรกิจมาใช้ระบบ ERP เมื่อไรดี?
- ประโยชน์ของ 'ระบบ ERP' ต่อธุรกิจ กุญแจสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
- 5 ขั้นตอนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนำ ‘ระบบ ERP’ มาใช้ในธุรกิจ
- เลือก 'ระบบ ERP' อย่างไรให้เหมาะกับธุรกิจ
- ระบบ ERP ที่ได้รับความนิยมสำหรับธุรกิจ SMEs
- สรุป
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คืออะไร?
ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) คือ ระบบบริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กร ที่สามารถรวบรวมข้อมูลขององค์กรและเชื่อมโยงการทำงานระหว่างแผนกบนระบบเดียว จึงช่วยลดข้อผิดพลาดและความซับซ้อนในการทำงาน ทำให้ขั้นตอนการทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ระบบ ERP ประกอบไปด้วยโมดูล (Module) การทำงานย่อย ๆ หรือแบ่งเป็นแต่ละแผนกนั่นเอง เช่น ระบบงานขาย ระบบจัดซื้อ ระบบคลังสินค้า ระบบบัญชีและการเงิน โดยแต่ละโมดูลสามารถทำงานเชื่อมกันได้ตาม Operation การทำงานของธุรกิจ ในธุรกิจขนาดเล็กอาจต้องการเพียงไม่กี่โมดูลในช่วงเริ่มต้น แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพราะระบบ ERP มีความยืดหยุ่นและพร้อมรองรับการเติบโตเมื่อธุรกิจขยายตัว
5 เทรนด์ ERP ในปี 2025
AI, IoT และ Cloud จะเข้ามามีบทบาทกับระบบ ERP อย่างไร?
ERP ที่ตอบโจทย์เฉพาะอุตสาหกรรม
ระบบ ERP จะก้าวหน้ามากกว่าเดิม ด้วยการออกแบบและพัฒนาฟังก์ชันมาเพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ไม่ใช่ระบบ ERP สำเร็จรูปที่มีฟังก์ชันมาตรฐานที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสุขภาพ อาหาร หรือการผลิต ระบบ ERP จะถูกปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะด้านของคุณ เพิ่มความคล่องตัวและความแม่นยำในการทำงาน
IoT เชื่อมต่อทุกอย่างให้เป็นหนึ่งเดียว
IoT กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงประสิทธิภาพธุรกิจ ด้วยการทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการที่เชื่อมต่อข้อมูลและอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ากับอินเทอร์เน็ต โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง 5G และ 6G
การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี IoT ร่วมกับ ERP จะกลายเป็นเทรนด์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ ตั้งแต่การจัดการซัพพลายเชนจนถึงการขนส่งสินค้า เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาด
ความปลอดภัยทางไซเบอร์
ระบบ ERP จะมีมาตรการ Cybersecurity ที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำ AI เข้ามาช่วยตรวจจับและป้องกันภัยคุกคาม เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลขององค์กรจะไม่ถูกคุกคาม ปลอมแปลง หรือรั่วไหล และปกป้องข้อมูลสำคัญและการทำธุรกรรมขององค์กร
Cloud ERP ระบบที่ยืดหยุ่นและคุ้มค่า
Cloud ERP กำลังเป็นตัวขับเคลื่อนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน และสร้างเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีแนวโน้มว่าองค์กรทั่วโลกเริ่มหันมาใช้ Cloud ERP กันมากขึ้น เนื่องจากยังมีความยืดหยุ่น ลดค่าค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ และติดตั้งได้เร็วกว่า ERP แบบ On-premise
จากการคาดการณ์ของ Fortune Business Insights คาดว่ามูลค่าของตลาด Cloud ERP จะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2567 เป็น 1 แสน หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2575 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 15.5%
นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกิจได้ทุกที่ทุกเวลา ลดค่าใช้จ่าย และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
บทความแนะนำ:
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่น่าสนใจสำหรับคุณ ได้ที่
5 เทรนด์เทคโนโลยี ERP ปี 2568 จะเปลี่ยนโลกธุรกิจอย่างไร?
จุดเด่นของระบบ ERP ตัวช่วยเพื่อธุรกิจทุกขนาด
ด้วยความที่ระบบ
ERP มีโมดูลการทำงานที่ครอบคลุมทุกกระบวนการทำงานของธุรกิจ จึงเข้ามาช่วยให้การวางแผนและการบริหารทรัพยากรขององค์กรนั้นเป็นไปอย่างสะดวก
รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ระบบ ERP มีจุดเด่นที่น่าสนใจอยู่ 3 ประการ
ครบ จบ บนระบบเดียว
ด้วยการเชื่อมโยงการทำงานของทุกแผนกในองค์กร
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีม
ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน ช่วยให้ทำงานรวดเร็วขึ้น
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจได้อย่างแม่นยำ
ด้วยข้อมูลที่ถูกอัปเดตแบบถูกต้องและเรียลไทม์
บทความแนะนำ:
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่น่าสนใจสำหรับคุณ ได้ที่
3 จุดเด่นของ 'ระบบ ERP' ที่ทำให้ธุรกิจชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้งาน
ทำไม 'ระบบ ERP' จึงสำคัญกับธุรกิจของคุณ
ระบบ ERP ทำหน้าที่เหมือนเป็น “ผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศ” แต่การจราจรนี้เป็นการจราจรสำหรับบริหารจัดการธุรกิจ โดย ERP จะเข้ามารวมศูนย์ข้อมูลและเป็นตัวช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างประสบความสำเร็จ
หากไม่มีระบบ ERP แผนกต่าง ๆ ภายในบริษัท มักมีการจัดการข้อมูลและใช้ซอฟต์แวร์ที่แยกจากกัน หรือเรียกว่าการทำงานแบบ “Siloed” โดยแต่ละแผนกก็จะมีวิธีการจัดการงานและดำเนินธุรกิจในแง่มุมที่แตกต่างกันด้วย ทำให้พนักงานมองไม่เห็นภาพรวมขององค์กร เพราะไม่เข้าใจ Workflow การทำงานภาพรวม ผู้บริหารจะนำข้อมูลไปปรับปรุงและวิเคราะห์ต่อก็เป็นเรื่องยาก
ระบบ ERP
ซึ่งมีจุดเด่นในการรวมศูนย์การทำงาน จึงเข้ามาและพัฒนาโซลูชันทั่วทั้งบริษัท
ทำให้ทุกส่วนทุกแผนกสามารถแบ่งปันข้อมูลกันได้อย่างง่ายดาย มีข้อมูลที่เรียลไทม์ และทำให้
Operation การทำงานของธุรกิจดำเนินไปบน
Workflow การทำงานเดียวกัน ทำให้การทำงานไหลลื่นและมี Productivity
มากยิ่งขึ้นนั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมระบบ ERP จึงสำคัญกับธุรกิจขนาด
ธุรกิจขนาดเล็กจะสามารถใช้ระบบ ERP ได้หรือไม่
แม้ว่าการจัดการธุรกิจจะเพิ่มความซับซ้อนเมื่อบริษัทเติบโตขึ้น แต่ผลการสำรวจของ Forbes Advisor พบว่าในปี 2024 ธุรกิจ SMEs จำนวนมากต่างหันมาใช้ซอฟต์แวร์ ERP เพราะต้องเผชิญกับองค์ประกอบทางธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การจัดการบัญชี การจัดการสินค้าคงคลัง และการจัดการงานขาย ระบบ ERP จึงเป็นตัวลือกที่ดีสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่าง ๆ เหล่านี้
รวมถึงปัจจุบันผู้ให้บริการ ERP ต่างพัฒนาระบบอยู่ในรูปแบบ Cloud ERP โดยให้บริการในรูปแบบ SaaS ที่ผู้ใช้งานสามารถชำระเงินสามารถได้ทันที และใช้งานผ่านเบราว์เซอร์หรือแอปได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบที่มักมีราคาแพง เพิ่มทางเลือกให้ SMEs ทุกขนาดใช้ระบบ ERP ได้โดยไม่ต้องกังวลถึงค่าใช้จ่าย และยังได้รับประโยชน์จากการที่ผู้ให้บริการอัปเดตเวอร์ชันและพัฒนาฟีเจอร์อยู่เป็นประจำ
ประเภทของ 'โปรแกรม ERP'
On-Premise ERP
Cloud-Based ERP หรือ Cloud ERP
Hybrid ERP
โมดูลการทำงานในระบบ ERP ส่วนประกอบสำคัญที่ขับเคลื่อนและเชื่อมโยงธุรกิจ
ระบบ ERP มีโมดูลหรือชุดแอปพลิเคชันการทำงานให้เลือกมากมายตามความต้องการของธุรกิจ
เราจึงขอยกตัวอย่างโมดูลที่เป็นที่นิยมใช้ในธุรกิจทุกขนาด ว่าจะสามารถเข้ามาช่วยแต่ละฝ่ายแต่ละแผนกในการทำงานได้อย่างไร
ระบบงานขาย (Sales) และ CRM
ระบบ ERP สามารถเข้ามาจัดการกระบวนการขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่สามารถเข้ามาช่วยจัดการ Sales Pipeline และการตลาดได้ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดการเอกสารสำคัญ อย่างการออกใบเสนอราคาและใบสั่งขาย การจัดการลูกค้าเป้าหมาย การติดตามโอกาส การคาดการณ์การขาย การจัดการแคมเปญ และยังสามารถจัดการทีมขายด้วยการตั้งเป้าหมายของทีมหรือตาม Sale แต่ละคน ทำให้ธุรกิจสามารถนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกระบวนการการขายให้ตอบโจทย์กับลูกค้าและความต้องการของธุรกิจมากยิ่งขึ้น
ระบบจัดซื้อ (Purchase)
ฝ่ายจัดซื้อนับว่าเป็นอีกส่วนสำคัญของบริษัท โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจซื้อมาขายไป (Trading Business) ที่จะช่วยควบคุมและบริหารค่าใช้จ่ายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบ ERP สามารถเข้ามาช่วยฝ่ายจัดซื้อจัดการเอกสารทั้งการทำใบขอซื้อ ใบสอบราคา และใบสั่งซื้อได้ในระบบเดียว และยังช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนและไม่จำเป็นของฝ่ายจัดซื้อลง เช่น การตั้ง Safety Stock เพื่อให้ระบบช่วยเปิดใบสั่งซื้อให้อัตโนมัติเมื่อถึงจุดสั่งซื้อ ทำให้ประหยัดเวลาและเพิ่ม Productivity ในการทำงานมากยิ่งขึ้น
ระบบคลังสินค้า (Inventory)
ระบบ ERP สามารถเข้ามาช่วยบริหารจัดการได้ทั้งคลังสินค้าและสต็อกสินค้า ทั้งการจัดการ Safety Stock ของสินค้าที่ต้องการ, การจัดการ Lot/Serial Number, การแปลงหน่วยสินค้า และรองรับการจัดการ Location ภายในคลังสินค้า รวมถึงรายงานต่าง ๆ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการสต็อกทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น รายงานสต็อกสินค้า ที่ช่วยให้คาดการณ์สต็อกได้อย่างแม่นยำ ทำให้ธุรกิจมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา
ระบบบัญชีและการเงิน (Accounting)
ระบบบัญชีและการเงินเป็นส่วนที่สำคัญของธุรกิจทุกขนาด โดยระบบ ERP จะเข้ามาช่วยบันทึกทุกรายรับและรายจ่ายขององค์กรให้อยู่ในระบบเดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการบัญชี และสามารถเรียกดูรายงานได้อย่างครบถ้วน และยังสามารถนำเอกสารยื่นส่งกับสรรพากรได้อย่างสะดวกอีกด้วย
ทรานฟอร์มธุรกิจมาใช้ระบบ ERP เมื่อไรดี?
ผู้ประกอบการหลายรายอาจตั้งคำถามอยู่เสมอว่าเมื่อไรที่ธุรกิจของคุณควรเปลี่ยนมาใช้ระบบ ERP สิ่งสำคัญคือผู้ประกอบการต้องกลับมาทบทวนว่า แล้วสิ่งที่ธุรกิจคุณต้องการอยู่ตอนนี้คืออะไร? หากสัญญาณต่อไปนี้คือที่คุณกำลังเผชิญ ก็อาจจะเป็นคำตอบแล้วว่าตอนนี้องค์กรของคุณกำลังต้องการระบบ ERP
เมื่อ.. โปรแกรมเดิมไม่ครอบคลุมการทำงาน และไม่รองรับการเติบโต
โครงสร้างของธุรกิจมักประกอบไปด้วยหลายฝ่ายหรือหลายแผนก ทำให้ต้องมีหลายโปรแกรมเพื่อสอดรับกับการทำงาน เช่น โปรแกรมทางด้านบัญชี โปรแกรมดูแลจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) โปรแกรมออกใบเสนอราคา ใบสั่งซื้อ โปรแกรมจัดการสต็อก
การใช้งานหลากหลายโปรแกรมมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถรองรับการเติบโต
และเชื่อมโยงการทำงานของทุกฝ่ายหรือทุกแผนกเข้าด้วยกันได้ นำมาซึ่งปัญหาใหม่
ทั้งการไม่เชื่อมโยงกันของข้อมูล การทำงานที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างแผนก
อาจส่งผลให้เกิดความผิดพลาดของข้อมูล
และยังต้องเสียเวลาไปกับการจัดการงานที่ไม่เกิดประโยชน์
เมื่อ.. ข้อมูลกระจัดกระจาย ไม่เชื่อมโยงกัน
ถ้าทีมงานของคุณยังทำงานแบบ Manual บันทึกข้อมูลโดยทีมงานแต่ละคนหรือแต่ละฝ่าย ซึ่งอาจมีการบันทึกไว้คนละที่หรือคนละไฟล์ แน่นอนว่าทำให้เกิดการผิดพลาดได้ง่าย ได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ข้อมูลกระจัดกระจายไม่เชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ติดตามการทำงานของทีมงานแต่ละคนได้ยาก และที่แย่ที่สุดคือข้อมูลเหล่านั้นพร้อมที่จะหายไปได้ทุกเมื่อ
เมื่อ.. กระบวนการทำงานของทีมที่ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อไม่มีระบบที่เข้ามาช่วยจัดการให้เกิดกระบวนการทำงานที่ดี จึงทำให้การกระบวนการทำงานภายในองค์กรไร้ประสิทธิภาพตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ทำให้พนักงานไม่ให้ความใส่ใจกับผลลัพธ์เป้าหมายของทีมหรือองค์กร เช่น
- ขาดการสื่อสารกันระหว่างทีมหรือแผนก
- ขาดความชัดเจนในกระบวนการทำงาน ไม่รู้ว่าเนื้องานนี้ต้องติดต่อใครหรือควรขอความช่วยเหลือจากใครเมื่อเกิดปัญหา
- ผู้บริการ หัวหน้าแผนก ไม่สามารถเรียกดูรายงานได้แบบเรียลไทม์ ต้องรอขอ้มูลจากแต่ละแผนก
เมื่อ.. ลูกค้าไม่พึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ
ธุรกิจอาจได้รับ Feedback จากลูกค้าเกี่ยวกับความไม่พึงพอใจในสินค้าหรือบริการ เนื่องจากการบริการที่ล่าช้า การส่งต่อข้อมูลเกิดความผิดพลาด การที่ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้ทันท่วงที หรือการที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอเพื่อนำมาตัดสินใจในการให้บริการแก่ลูกค้า
ประโยชน์ของ 'ระบบ ERP' ต่อธุรกิจ กุญแจสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
เพิ่ม Productivity การทำงานให้กับธุรกิจของคุณ (Greater Productivity)
มีข้อมูลและรายงานที่เข้าใจง่ายและเรียลไทม์ (Easy and Real-Time Reporting)
มีข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ (Increased Accuracy)
เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกที่ดีขึ้น ผู้บริหารมองเห็นภาพรวมขององค์กร (Better Interdepartmental Collaboration)
รองรับการเติบโตและขยายขนาด (Scalability and Integrations)
5 ขั้นตอนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนำ ‘ระบบ ERP’ มาใช้ในธุรกิจ
การนำระบบ ERP มาใช้ในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนและเตรียมการอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างตรงจุด มาดูกันว่า 5 ขั้นตอนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนนำ ‘ระบบ ERP’ มาใช้ในธุรกิจ จะมีอะไรบ้าง
1. กำหนดจุดประสงค์ของการใช้ระบบ ERP
เริ่มต้นด้วยการเข้าใจจุดประสงค์หลักว่าทำไมธุรกิจของเราต้องการระบบ ERP เช่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, ลดต้นทุนการบริหารจัดการ, มองเห็นภาพรวมธุรกิจ, หรือใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน จะช่วยให้กระบวนการในขั้นตอนถัดไปเป็นไปอย่างมีทิศทางและง่ายต่อการดำเนินการ2. วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการในแต่ละส่วนงาน
พูดคุยกับทีมงานในแต่ละแผนกเพื่อระบุปัญหาหรือความยากลำบากที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานปัจจุบัน เช่น การสื่อสารที่ไม่ต่อเนื่อง, ความซ้ำซ้อนของข้อมูล, หรือการจัดการที่ล่าช้า ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้สามารถลิสต์ฟีเจอร์หรือฟังก์ชันที่จำเป็นสำหรับการแก้ไขปัญหาในแต่ละส่วนงานได้อย่างครบถ้วน
3. เลือกระบบ ERP ที่เหมาะสมกับธุรกิจ
เมื่อรู้ถึงความต้องการและปัญหาที่ต้องการแก้ไขแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการค้นหาระบบ ERP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของเรา ควรพิจารณาจากความเหมาะสมกับขนาดธุรกิจ, ประเภทธุรกิจ, ค่าใช้จ่าย, และความยืดหยุ่นของระบบในการรองรับการเติบโตในอนาคต การเลือกระบบที่ดีจะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าและลดความยุ่งยากในระยะยาว
4. วางแผนและเตรียมทีมงานให้พร้อม
การเตรียมทีมงานให้พร้อมก่อนเริ่มใช้งานระบบใหม่เป็นสิ่งสำคัญ ต้องให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับข้อดีและกระบวนการทำงานในระบบใหม่ พร้อมทั้งจัดทำแผนการเพื่อค่อย ๆ นำระบบมาใช้ในแต่ละแผนกอย่างเหมาะสม การมีทีมงานที่พร้อมจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น
5. จัดเตรียมข้อมูลสำหรับระบบใหม่
ก่อนย้ายข้อมูลเข้าสู่ระบบ ERP ใหม่ ควรตรวจสอบและจัดการข้อมูลเดิมให้ถูกต้องและครบถ้วน ลดความซ้ำซ้อนหรือข้อมูลที่ล้าสมัยลง เพื่อให้ข้อมูลที่นำเข้าไปมีความพร้อมสำหรับการใช้งาน การจัดการข้อมูลที่ดีจะช่วยให้การเริ่มต้นใช้งานระบบใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
บทความแนะนำ:
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่น่าสนใจสำหรับคุณ ได้ที่
5 ขั้นตอน เตรียมตัวให้พร้อมก่อนนำ 'ระบบ ERP' มาใช้ในธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
เลือก 'ระบบ ERP' อย่างไรให้เหมาะกับธุรกิจ
5 เช็กลิสต์สำคัญ ที่ต้องพิจารณาในการเลือก 'ระบบ ERP' ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
พิจารณาฟีเจอร์ให้ครอบคลุมกับการทำงานและความสามารถในการเติบโต
ธุรกิจต้องทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อนำมาพิจารณาฟังก์ชันและฟีเจอร์การทำงานให้เข้ามาแก้ปัญหาและปรับปรุงในส่วนที่ต้องการ รวมถึงแผนการเติบโตของธุรกิจในอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าระบบ ERP ที่นำมาใช้จะพร้อมรองรับกับการเติบโตของธุรกิจ พิจารณาการพัฒนาเทคโนโลยีของระบบ
เทคโนโลยีรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าการมีระบบ ERP ที่ทันสมัยย่อมได้เปรียบกว่าคู่แข่งในทุกด้าน การเลือกผู้ให้บริการที่มีการพัฒนาเวอร์ชันและฟังก์ชันการใช้งานอยู่เสมอ จะทำให้ธุรกิจได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ ที่พร้อมรองรับกับทุกการเปลี่ยนแปลง ใช้งานง่าย มี UX/UI ที่ตอบโจทย์กับยุคสมัย
ปัจจุบัน User Interface ของระบบ ERP ถูกพัฒนามาให้มีการใช้งานง่ายมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเรียนรู้ระบบได้ด้วยตนเอง ซึ่งลดระยะเวลาในการทำความเข้าใจระบบ ทำให้พร้อมใช้งานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ชื่อเสียงของผู้ให้บริการและบริการให้ความช่วยเหลือ
ผู้ใช้บริการระบบ ERP มีให้เลือกมากมายในตลาด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เพราะการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ย่อมมีผลโดยตรงกับธุรกิจของคุณ และที่สำคัญอย่าลืมพิจารณาถึงการอบรมการใช้งาน และความพร้อมในการ Support ต้นทุนในการพัฒนาระบบ ERP
เพราะการเลือกใช้ซอฟต์แวร์นับว่าเป็นลงทุนพัฒนาธุรกิจในอีกรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาถึงการลงทุนอย่างรอบด้าน รวมถึงประเมินผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และการประหยัดต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นหรือการเติบโตของรายได้ที่สามารถทำได้เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบ ERPบทความแนะนำ:
อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมที่น่าสนใจสำหรับคุณ ได้ที่
5 เช็กลิสต์ เลือก 'ระบบ ERP' อย่างไร ให้เหมาะกับธุรกิจ
ระบบ ERP ที่ได้รับความนิยมสำหรับธุรกิจ SMEs
SAP Business One
ระบบ ERP สัญชาติเยอรมัน ที่ได้รับความนิยมสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง โดยสามารถจัดการการทำงานได้ตั้งแต่กบัญชีและการเงิน การจัดซื้อ
สินค้าคงคลัง การขาย และความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) แม้ SAP B1 จะเป็นระบบ ERP ที่มีมาตรฐานและความเสถียร
แต่ในอีกด้านเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บริการ ERP รายอื่น ๆ SAP
B1 ใช้เวลาอย่างอย่างมากในการเรียนรู้ระบบ และมีราคาแพง ทำให้ SAP B1 อาจเป็นแบรนด์ที่เหมาะกับธุรกิจขนาดกลางหรือธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังขยายขนาดอย่างรวดเร็ว
และมีกำลังพอที่จะลงทุนกับค่าใช้จ่ายของระบบ
Odoo
Odoo ระบบ ERP
สัญชาติเบลเยี่ยม โดดเด่นจากโมเดลการทำงานแบบโอเพ่นซอร์ส (Open-Source) แม้จะมีแพ็กเกจที่สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ฟรีเป็นทางเลือกสำหรับธรุกิจขนาดเล็ก
แต่ Odoo เหมาะที่สุดสำหรับธุรกิจและองค์กรขนาดใหญ่เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่รวมแอปพลิเคชันต่าง
ๆ ทางธุรกิจไว้บนระบบเดียว มีความยืดหยุ่นในการพัฒนาฟังก์ชันการทำงานให้ครอบคลุมสำหรับองค์กร
โดย Odoo มีการทำงานร่วมกับ Odoo Partner ทั่วโลก ในพัฒนาระบบตามความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ เช่น Roots ผู้นำด้านการพัฒนา ERP ระดับแนวหน้าของประเทศไทย
ซึ่งเป็น Odoo Official Partner Thailand ที่มีการพัฒนาระบบให้องค์กรชั้นนำของไทยมากกว่า
10 ปี
Microsoft Dynamics 365 Business Central
เป็นซอฟต์แวร์ ERP ชั้นนำสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง
เหมาะสำหรับบริษัทที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Microsoft เพราะสามารถเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ของ
Microsoft ได้อย่างราบรื่น เช่น Power Apps และ Power BI และสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานที่คุ้นเคยกับ Interface
ของ Microsoft โดยมีแอปพลิเคชันที่หลากหลายเพื่อช่วยจัดการธุรกิจและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
แม้ว่าจะมี Interface ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้และใช้งานง่าย แต่หากธุรกิจมีกระบวนการและข้อกำหนดที่ซับซ้อน
ก็อาจต้องใช้เวลาในการพัฒนาและเรียนรู้ระบบ
BEECY
BEECY แพลตฟอร์มบริหารจัดการธุรกิจสำหรับองค์กรยุคใหม่
ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อธุรกิจ SMEs ไทยโดยเฉพาะ โดย BEECY เป็นระบบ ERP ที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ
ที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญ โดยมี Odoo เป็นเฟรมเวิร์กในการพัฒนา
สามารถพร้อมใช้งานได้ทันทีโดยไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบที่มักมีราคาสูง
เหมาะสำหรับธุรกิจซื้อมาขายไป (Trading Business) และธุรกิจบริการทุกขนาด
มาพร้อมโมดูลในการทำงานที่ครอบคลุมธุรกิจ ทั้งระบบงานขาย ระบบจัดซื้อ
ระบบคลังสินค้า และระบบบัญชีและการเงิน สามารถเชื่อมโยงการทำงานได้ทุกแผนก และใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ
ตอบโจทย์สำหรับผู้ประกอบการไทยยุคใหม่ที่ต้องการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้พัฒนาธุรกิจ
สรุป
แม้ว่าระบบ ERP จะมีความสามารถในการจัดการงานที่ครอบคลุม แต่ก็ไม่ใช่ว่าระบบ ERP จากผู้ให้บริการทุกเจ้าจะตอบโจทย์การทำงานของทุกฝ่ายในองค์กร เพราะอาจต้องคำนึงถึงการปรับระบบเพิ่มเติมเพื่อให้เข้ากับขั้นตอนหรือกระบวนการทำงานของทีม โดยระบบ ERP ที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป เช่น SAP, Microsoft Dynamics, Odoo ตามที่เราได้ยกตัวอย่างข้างต้น ต่างก็มีจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป ในขณะที่ระบบ ERP บางประเภทก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบอื่น ๆ เช่น ระบบ e-Commerce, ระบบการขายหน้าร้าน (Point of Sales)
อย่างไรก็ตาม การนำระบบ ERP ไปปรับใช้ให้เข้ากับการทำงานขององค์กร โดยไม่ใช้ตาม Standard ที่ระบบมีมาให้นั้น อาจต้องใช้เวลาและต้องอาศัยความร่วมมือของทีมงาน จึงต้องทำความเข้าใจระบบ ERP แต่ละเจ้าให้ดีก่อนตัดสินใจที่จะนำไปใช้กับองค์กร
โดยสรุป ระบบ ERP เป็นซอฟต์แวร์อีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีมาก ที่จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการงานขององค์กร ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรและการทำงานร่วมกันภายในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อนด้วยกระบวนการที่เป็นอัตโนมัติมากขึ้น (Streamline Workflow) นำไปสู่การลดต้นทุนบางอย่างลงไปได้ รวมไปถึงการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้แม่นยำและสอดคล้องกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น