FIFO LIFO Moving Average คิดต้นทุนสินค้ายังไงมีกำไรให้ธุรกิจ

ทำไมวิธีการคำนวณต้นทุนสินค้าจึงสำคัญ?

​สำหรับธุรกิจซื้อมาขายไป ที่ต้องมีการสั่งซื้อสินค้าชนิดเดียวกันเข้ามาหลายล็อต แล้วแต่ละล็อตก็มีราคาต้นทุนไม่เท่ากัน การบริหารสต็อกจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการมีของขายให้เพียงพอ แต่ยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพทางการเงินของธุรกิจ ทั้งเงินทุนหมุนเวียน ต้นทุนสินค้า ไปจนถึงกำไรที่จะได้รับ เพียงแค่การเลือก ‘วิธีคำนวณต้นทุน’ ที่ต่างกัน แน่นอนว่า ผลลัพธ์ทางการเงินรก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

วิธีการคำนวณต้นทุนสินค้าอย่าง FIFO, LIFO หรือ Moving Average แต่ละแบบที่ให้ตัวเลขต้นทุนขายและมูลค่าสินค้าคงคลังที่ต่างกัน จึงส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน ภาษีที่ต้องจ่าย รวมถึงการวางแผนกลยุทธ์ในอนาคต บทความนี้จะชวนคุณมาเจาะลึกว่า แต่ละวิธีแตกต่างกันยังไง เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน เพื่อช่วยให้คุณสามารถคำนวณต้นทุนสินค้าและนำมาตั้งราคาสินค้าให้เหมาะสมได้ตอบโจทย์กับธุรกิจมากที่สุด

FIFO, LIFO, Moving Average คืออะไร?

วิธีการคำนวณต้นทุนสินค้า

​​​FIFO, LIFO, และ Moving Average คือ ​วิธีการคำนวณต้นทุนสินค้าคงเหลือ (Inventory Costing Methods) ที่ใช้ในระบบบัญชี และการบริหารจัดการสต็อกสินค้า เพื่อให้ธุรกิจรู้ว่า สินค้าที่ขายไปแล้วมีต้นทุนเท่าไหร่ และมูลค่าสินค้าเท่าไรที่คงเหลืออยู่ในคลัง

​วิธีการคำนวณต้นทุนสินค้า จึงส่งผลโดยตรงต่อตัวเลขในงบการเงิน ทั้งกำไรสุทธิและภาษีที่ต้องจ่าย โดยแต่ละวิธีก็มีหลักการที่เหมาะกับประเภทธุรกิจและสินค้าที่ต่างกัน มาดูกันว่าทั้ง 3 วิธีจะมีเทคนิคการคำนวณราคาต้นทุนอย่างไรบ้าง

1. FIFO (First-In, First-Out) — เข้าก่อน ออกก่อน

​หลักการของวิธีนี้ก็คือ 'สินค้าที่เข้ามาในคลังก่อน จะต้องถูกขายออกไปก่อน' เหมือนกับการเรียงสินค้าบนชั้นวางให้ลูกค้าหยิบจากด้านหน้าสุดก่อนเสมอ ดังนั้น สินค้าคงเหลือจะเป็นของที่ซื้อเข้ามาล่าสุด 

ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนด้วยวิธี

FIFO สมมติว่าคุณซื้อสินค้ามา 2 ครั้ง

  • ครั้งที่ 1 : ซื้อมา 100 ชิ้น ในราคาชิ้นละ 10 บาท (รวม 1,000 บาท)
  • ครั้งที่ 2 : ซื้อมา 100 ชิ้น ในราคาชิ้นละ 12 บาท (รวม 1,200 บาท)

เมื่อคุณขายสินค้าไป 100 ชิ้น ด้วยวิธี FIFO คุณจะคิดต้นทุนจากสินค้าล็อตแรกก่อน นั่นคือ

  • ต้นทุนขาย : 100 ชิ้น x 10 บาท = 1,000 บาท
  • สินค้าคงเหลือ : สินค้าที่เหลืออยู่คือล็อตที่ 2 จำนวน 100 ชิ้น มีมูลค่า 100 x 12 บาท = 1,200 บาท

2. LIFO (Last-In, First-Out) — เข้าหลัง ออกก่อน

​วิธีนี้จะตรงกันข้ามกับ FIFO คือ ‘สินค้าล็อตสุดท้ายที่เข้ามา จะถูกขายออกไปเป็นล็อตแรก’ ดังนั้น สินค้าคงเหลือจะเป็นของล็อตเก่า

ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนด้วยวิธี LIFO

จากตัวอย่างเดิม เมื่อคุณขายสินค้าไป 100 ชิ้น ด้วยวิธี LIFO คุณจะคิดต้นทุนจากสินค้าล็อตล่าสุดก่อน นั่นคือ 

  • ต้นทุนขาย : 100 ชิ้น x 12 บาท = 1,200 บาท
  • สินค้าคงเหลือ : สินค้าที่เหลืออยู่คือล็อตที่ 1 จำนวน 100 ชิ้น มีมูลค่า 100 x 10 บาท = 1,000 บาท

3. Moving Average — ต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าทั้งหมด

​วิธีนี้จะคำนวณต้นทุนสินค้าที่ขายไปและสินค้าที่เหลืออยู่ในคลังจาก ‘ต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าทั้งหมดที่มี’ พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อมีการซื้อสินค้าล็อตใหม่เข้ามาในราคาที่ต่างจากเดิม ก็จะนำมาคำนวณหาต้นทุนเฉลี่ยใหม่ทันที วิธีนี้จะทำให้ต้นทุนสินค้าไม่ผันผวน

ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนด้วยวิธี Moving Average

จากตัวอย่างเดิม คุณมีสินค้าทั้งหมด 200 ชิ้น จาก 2 ล็อต ต้นทุนรวมทั้งหมดคือ (100 ชิ้น x 10 บาท) + (100 ชิ้น x 12 บาท) = 2,200 บาท

  • ต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้น : 2,200 บาท ÷ 200 ชิ้น = 11 บาทต่อชิ้น

เมื่อคุณขายสินค้าไป 100 ชิ้น ด้วยวิธี Moving Average คุณจะคิดต้นทุนจากราคาเฉลี่ย นั่นคือ

  • ต้นทุนขาย : 100 ชิ้น x 11 บาท = 1,100 บาท
  • สินค้าคงเหลือ : สินค้าที่เหลืออยู่ 100 ชิ้น มีมูลค่า 100 x 11 บาท = 1,100 บาท

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของ FIFO, LIFO และ Moving Average

ข้อดี ข้อเสียของ FIFO, LIFO และ Moving Average

ข้อดี-ข้อเสียของวิธี FIFO (First-In, First-Out)

ข้อดี :

  • ช่วยให้สินค้าที่เก่าถูกขายออกไปก่อน ลดความเสี่ยงสินค้าหมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพ
  • มูลค่าสินค้าคงเหลือ (Ending Inventory) จะใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบันมากที่สุด เพราะของที่เหลืออยู่คือของที่ซื้อมาล่าสุด

ข้อเสีย :

  • แต่หากเป็นในช่วงที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ต้นทุนขายจะต่ำ ทำให้กำไรสุทธิสูงขึ้น และอาจต้องเสียภาษีมากขึ้นตามไปด้วย
  • ไม่สะท้อนต้นทุนล่าสุดของการขายสินค้า

เหมาะกับธุรกิจ:

ที่เน้นการหมุนเวียนสต็อกเร็ว สินค้ามีวันหมดอายุ หรือตกรุ่นได้ง่าย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือเสื้อผ้าแฟชั่น

ข้อดี-ข้อเสียของวิธี LIFO (Last In, First Out)

ข้อดี :

  • เหมาะกับช่วงที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น วิธีนี้จะทำให้ต้นทุนขายสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง และช่วยประหยัดภาษีได้
  • ต้นทุนที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนขายจะสะท้อนราคาตลาดล่าสุดได้ดีกว่า เนื่องจากใช้ต้นทุนของสินค้าที่เพิ่งซื้อมาล่าสุดในการคำนวณต้นทุนขาย

ข้อเสีย :

  • มูลค่าสินค้าคงเหลือจะต่ำกว่าราคาตลาดจริง เพราะในบัญชีจะยังคงเหลือสินค้าที่ซื้อมาด้วยต้นทุนเก่าอยู่
  • ไม่สอดคล้องกับการบริหารสต็อกสินค้าจริง เพราะสินค้าที่เข้ามาหลังสุดกลับถูกขายออกไปก่อน โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ขายสินค้าที่เน่าเสียง่ายหรือมีวันหมดอายุ
  • ไม่ได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในมาตรฐานการบัญชีทั้งหมด รวมถึงประเทศไทยด้วย เช่น มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ไม่อนุญาตให้ใช้ LIFO

เหมาะกับธุรกิจ:

ที่มีต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และกฎหมายหรือมาตรฐานบัญชีอนุญาตให้ใช้

ข้อดี-ข้อเสียของวิธี Moving Average (ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก)

ข้อดี :

  • ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยมีความสม่ำเสมอ
  • คำนวณง่าย เหมาะกับธุรกิจที่มีการรับสินค้าเข้าสต็อกบ่อย
  • ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้า ทำให้ตัวเลขดูนิ่งและคาดการณ์ได้ง่าย

ข้อเสีย :

  • ตัวเลขจะไม่สะท้อนทั้งต้นทุนล่าสุด (แบบ LIFO) หรือราคาที่สมจริงของสินค้าที่เหลืออยู่ (แบบ FIFO) อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นค่าเฉลี่ยของต้นทุนทั้งหมด จึงไม่ตรงกับราคาจริงของสินค้าแต่ละล็อต
  • ไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าอย่างรวดเร็ว

เหมาะกับธุรกิจ:

ที่มีการซื้อขายบ่อยและปริมาณมาก สินค้ามีความเหมือนกัน ไม่เน่าเสีย และราคาไม่ผันผวนรุนแรง เช่น ธุรกิจค้าส่ง วัสดุก่อสร้าง หรือสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป

สรุป​

​การเลือกวิธีการคำนวณต้นทุนสินค้าคงคลังอย่าง FIFO, LIFO และ Moving Average ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำบัญชี แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่มีผลต่อการบริหารจัดการสต็อก ต้นทุน ราคาขาย และสุขภาพทางการเงินของธุรกิจคุณ

​FIFO เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องจัดการสินค้ามีวันหมดอายุ เพราะช่วยให้สต็อกเก่าถูกขายออกไปก่อน ส่วน LIFO จะช่วยลดภาระภาษีในภาวะเงินเฟ้อได้ดี ขณะที่ Moving Average คือวิธีที่ช่วยลดความผันผวนของต้นทุน เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการซื้อขายปริมาณมากและราคาไม่คงที่

​ดังนั้น การตัดสินใจเลือกวิธีที่ใช่จึงขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า แนวโน้มราคา และเป้าหมายทางการเงินของธุรกิจเป็นหลัก และเพื่อช่วยให้การคำนวณเหล่านี้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น BEECY ระบบ ERP ของเราพร้อมเป็นผู้ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยฟังก์ชันที่รองรับการคำนวณต้นทุนทั้งแบบ FIFO และ Moving Average ทำให้คุณได้ข้อมูลที่ถูกต้องและนำไปใช้ในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ BEECY เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของธุรกิจคุณตั้งแต่วันนี้


หยุดทุกความวุ่นวายในการบริหารจัดการธุรกิจ "Stop busy start ​BEECY"

ทดลองใช้ BEECY ERP ฟรี! ลงทะเบียนเลย

FIFO LIFO Moving Average คิดต้นทุนสินค้ายังไงมีกำไรให้ธุรกิจ
BEECY Team 25 กันยายน ค.ศ. 2025
แชร์โพสต์นี้
Loading...