อยากพาธุรกิจเติบโตไปต่างประเทศ ต้องรู้จัก Incoterms ทั้ง 11 ประเภท
Incoterms คืออะไร?
Incoterms ย่อมาจาก International Commercial Terms เป็นข้อกำหนดการค้าระหว่างประเทศที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งถูกกำหนดโดยสภาหอการค้านานาชาติ (International Chamber of Commerce :ICC) ในปี พ.ศ.2479 (ค.ศ.1936) เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ค้าและบริษัทขนส่งสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ โดยมีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และภาวะการค้าของโลกมาตลอดทุก ๆ 10 ปี จะมีการแก้ไขปรับปรุงที่สำคัญหนึ่งครั้ง ปัจจุบันยังคงมี 11 เทอม
โดย Incoterms จะกำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ซื้อและผู้ขายในการขนส่งสินค้า รวมถึงความรับผิดชอบในการจัดหาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น การตรวจสอบสินค้า การนำส่ง การสินค้า และการรับสินค้า ข้อกำหนดเหล่านี้กำหนดความรับผิดชอบ ความเสี่ยง และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการส่งมอบสินค้าในธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการทำความเข้าใจและใช้งาน Incoterms อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการดำเนินงานจะราบรื่น ลดความเสี่ยง และรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้
ความสำคัญของ Incoterms ในการค้าระหว่างประเทศ
ในโลกของการค้าระหว่างประเทศ ที่มีการจัดส่งสินค้าข้ามพรมแดน การมีข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับความรับผิดชอบรหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นสิ่งสำคัญ Incoterms จึงมีบทบาทสำคัญในการให้ความชัดเจนนี้ โดยจะมีจัดเตรียมกรอบการทำงานทั่วไปสำหรับการเจรจาสัญญา การพิจารณาการโอนความเสี่ยง และการปันส่วนต้นทุนระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการทำธุรกรรม
วิธีเลือก Incoterms ที่เหมาะสมกับธุรกิจ
การเลือก Incoterm ที่เหมาะสมจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เช่น ลักษณะของสินค้า วิธีการขนส่ง ปลายทางการรับสินค้า และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจภาระผูกพันและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Incoterm แต่ละรายการ เพื่อทำการตัดสินใจโดยมีข้อมูลครบถ้วน
ในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักับ Incoterms ทั้ง 11 ประเภท เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือก Incoterm ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์การค้าของคุณ
Incoterms ทั้ง 11 ประเภท
1. EXW (Ex works)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายเมื่อได้รับมอบสินค้า
Cost Point: ผู้ซื้อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้านับแต่เวลาที่สินค้าได้ถูกส่งมอบแล้ว
Customs Clearance Point: ผู้ชื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก พิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า (ผู้ขายให้ความช่วยเหลือด้านเอกสารและข้อมูลเพื่อการส่งออก)
2. FCA (Free Carrier)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ซื้อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับสินค้านับแต่เวลาที่สินค้าได้ถูกส่งมอบแล้ว
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า (ผู้ขายให้ความช่วยเหลือด้านเอกสารและข้อมูลเพื่อการผ่านแดน และพิธีการนำเข้า)
3. FAS (Free Alongside Ship)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงทั้งหมดของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ซื้อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้านับแต่เวลาที่สินค้าได้ถูกส่งมอบสินค้าแล้ว
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า
4. FOB (Free on Board)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงทั้งหมดของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ซื้อชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้านับแต่เวลาที่สินค้าได้ถูกส่งมอบสินค้าแล้ว
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออกผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า
5. CPT (Carriage Paid To)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับจัดการขนส่งทู้ขายว่าจ้าง
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกี่ยวกับสินค้านับแต่เวลาที่สินค้าได้ถูกส่งมอบแล้ว
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า
6. CIP (Carriage and insurance Paid To)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงทั้งหมดของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจนถึงสถานที่ที่ส่งมอบปลายทางที่ระบุภายใต้สัญญารับขน ผู้ขายต้องทำสัญญาประกันภัยต่อความเสี่ยงและชำระค่าประกันภัยให้ผู้ซื้อจากจุดส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับจัดการขนส่งที่ผู้ขายว่าจ้าง ไปยังสถานที่ปลายทางที่ระบุ
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า
7. CFR (Cost and Freight)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงทั้งหมดของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนสินค้าได้ส่งมอบแล้ว ผู้ขายต้องทำสัญญาขนส่งสินค้าและชำระค่าระวางและค่าใช้จ่ายอื่นจากจุดส่งมอบไปยังจุดหมายปลายทางที่ตกลงกันไว้
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า
8. CIF (Cost Insurance and Freight)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงทั้งหมดของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนสินค้าถูกส่งมอบแล้ว
ผู้ขายต้องทำสัญญาขนส่งสินค้าและชำระค่าระวางและค่าใช้จ่ายอื่นจากจุดส่งมอบไปยังจุด หมายปลายทางที่ตกลงกันไว้
นอกจากนี้ผู้ขายต้องทำสัญญาประกันภัยและชำระค่าประกันภัยจากท่าเรือต้นทางไปยังท่าเรือปลายทางใน Clauses (C) ของ Institute Cargo Clauses
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า
9. DAP (Delivered at Place DDP)
Risk Point: ผู้ซื้อรับความเสี่ยงทั้งหมดของสินค้าเมื่อได้รับมอบสินค้าแล้ว
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจนถึงสถานที่ที่ส่งมอบปลายทางที่ระบุภายใต้สัญญารับขน
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออกและผ่านแดน ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการขาเข้า
10. DPU (Delivered at Place Unloaded)
Risk Point: ผู้ขายรับความเสี่ยงทั้งหมดในการนำสินค้าไปยังและขนถ่ายลง ณ สถานที่ที่ปลายทางระบุ
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจนถึงสถานที่ที่ส่งมอบปลายทางที่ระบุ ภายใต้สัญญารับขน
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออกและผ่านแดน ผู้ซื้อเป็นผู้ผ่านพิธีการขาเข้า
10. DDP (Delivered Duty Paid)
Risk Point: ผู้ขายรับความเสี่ยงทั้งหมดในการนำสินค้าไปยังและขนถ่ายลง ณ สถานที่ปลายทางที่ระบุ
Cost Point: ผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวกับสินค้า และการขนส่งสินค้าจนสินค้าถึงสถานที่ที่ส่งมอบปลายทางที่ระบุภายใต้สัญญารับขน
Customs Clearance Point: ผู้ขายเป็นผู้ผ่านพิธีการขาออก พิธีการผ่านแดน และพิธีการขาเข้า