เปิดเงื่อนไข Easy E-Receipt 2.0 ลดหย่อนภาษี 2568 ซื้ออะไรได้บ้าง? เช็กเลย
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 รัฐบาลได้ออกมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ประจำปี 2568 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และยังเป็นการช่วยประชาชนผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยจับจ่ายซื้อสินค้าหรือบริการตามเงื่อนไขที่ได้จ่ายจริง และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 50,000 บาท
มาดูกันว่ามีมาตรการนี้เงื่อนไขอะไรบ้าง และสิ่งที่ควรทราบก่อนเข้าร่วมมาตรการนี้
Table of Contents : เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจได้ตรงนี้เลย
Easy E-Receipt 2.0 คืออะไร?
Easy E-Receipt 2.0 เป็นมาตรการขยายผลจากมาตรการเดิม 'Easy e-Receipt' เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในปี 2568 และส่งเสริมให้การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถทำได้สะดวกและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลได้มีการปรับปรุงโครงการและเงื่อนไขใหม่ ๆ เช่น
- รองรับการใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้ง Mobile Banking, E-Wallet และ QR Code Payment
- การตรวจสอบใบเสร็จที่ง่ายขึ้น ระบบใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ถูกปรับให้เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ
- เพิ่มความคุ้มค่า ขยายรายการสินค้าที่เข้าร่วมโครงการและเพิ่มการสนับสนุนสินค้าไทยมากยิ่งขึ้น
Easy E-Receipt เริ่มตั้งแต่วันไหน?
Easy E-Receipt เริ่มต้นตั้งแต่ 16 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยจะเป็นค่าลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2568 ดังนั้น ผู้ที่ต้องการลดภาระภาษีสามารถเริ่มเก็บใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ในการลดหย่อนได้ทันทีในช่วงเวลานี้
ใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Tax Invoice และ e-Receipt จะต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง?
การใช้จ่ายผ่านโครงการ Easy E-Receipt จะต้องซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม และออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ e-Tax Invoice และ e-Receipt ซึ่งจะต้องระบุ
- ชื่อ-นามสกุล
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรหรือเลขประจำตัวประชาชน ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
เพื่อใช้เป็นหลักฐานตามที่จ่ายจริง โดยมีวงเงินสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
เงื่อนไขที่ควรรู้
ในวงเงิน 50,000 บาท จะแบ่งการใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน ได้แก่
วงเงินส่วนแรก
กำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าหรือบริการทั่วไป รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น แพ็กเกจทัวร์ เช่ารถ โรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
วงเงินส่วนที่สอง
กำหนดวงเงินลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าหรือบริการร้านวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และร้านค้า OTOP
โดยการใช้งานของทั้งสองวงเงินรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 50,000 บาท
สินค้าหรือบริการที่ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่ได้
เพื่อป้องกันการใช้สิทธิลดหย่อนอย่างไม่เหมาะสม รายการสินค้าหรือบริการที่ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้มีดังนี้
- สินค้าแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์
- ยาสูบ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
- ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ
- ค่าน้ำมันและก๊าซ ค่าบริการประจุไฟฟ้าสำหรับเติมยานพาหนะ
- ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต
- ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
- ค่าบริการจัดนำเที่ยวที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว และค่าที่พักโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย หรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม
สรุป Easy E-Receipt ซื้ออะไรได้บ้าง?
รายการที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ ได้แก่:
- สินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT
- หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แบบเล่ม และ E-Book
- สินค้าที่สนับสนุนท้องถิ่น เช่น สินค้า OTOP หรือสินค้าชุมชน
- การท่องเที่ยวและการเดินทาง เช่น ค่าที่พักในประเทศ ค่าบริการจากบริษัททัวร์ที่จดทะเบียนถูกต้อง
เคล็ดลับใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีให้คุ้มค่า
- วางแผนการใช้จ่าย ใช้สิทธิในกลุ่มสินค้าหรือบริการที่จำเป็นและได้ประโยชน์สูงสุด
- ตรวจสอบร้านค้า เลือกร้านค้าที่มีระบบใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
- เก็บหลักฐานให้ครบถ้วน เก็บใบเสร็จทุกครั้งที่ใช้สิทธิลดหย่อน พร้อมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในใบเสร็จ
มาตรการ Easy E-Receipt 2568 เป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี พร้อมส่งเสริมการใช้จ่ายที่สะดวกและทันสมัย เพียงคุณทำความเข้าใจเงื่อนไขและใช้สิทธิประโยชน์อย่างคุ้มค่า ก็จะสามารถช่วยลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด